John Pawson
and his
Home Farm

  • Photography by Aya Sekine
  • Hair & Makeup for Catherine by Victoria Poland
  • Interview & Text by Kosuke Ide
  • Interview Interpretation by Kozue Etsuzen

บ้านในชนบทของนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลก ผู้สร้างสุนทรียศาสตร์สไตล์มินิมอล เป็นฟาร์มเฮาส์เก่าแก่ในภูมิภาคคอทส์วอลด์สทางตอนกลางของประเทศอังกฤษ ชีวิตที่นั่นเต็มไปด้วยเรื่องราวสุดเซอร์ไพรส์

ทางเข้าตกแต่งด้วยเก้าอี้เพียง 3 ตัวซึ่งเป็นผลงานของ Donald Judd เจ้าพ่อแห่งวงการดีไซน์มินิมอล ดูไร้ที่ติเกินกว่าจะเรียกว่าโถงทางเข้า "ไม่เป็นไร คุณใส่รองเท้าเข้ามาได้เลย!" สถาปนิกตะโกนข้ามบานกระจกขนาดใหญ่เพื่อบอกทีมงานของเราที่ดูลังเลอยู่ให้เดินเข้ามาข้างใน จากผลงานของเขาตั้งแต่ที่แฟล็กชิปสโตร์ของ Calvin Klein ในมหานครนิวยอร์กเมื่อปี 1995 ไปจนถึง London’s Design Museum ในปี 2016 John Pawson มีชื่อเสียงระดับนานาชาติจากสไตล์มินิมอลลิสต์ สิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้จากการได้เห็นพื้นที่ที่ออกแบบได้อย่างลงตัวและน่าทึ่งนี้ กลับกลายเป็นรอยยิ้มที่ผ่อนคลายและเป็นมิตรของเขา

คอทส์วอลด์สตั้งอยู่ทางทิศเหนือของลอนดอน อยู่ห่างออกไปสองชั่วโมงโดยรถยนต์ และมีภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยเนินเขาเขียวขจี ในอดีต ความเจริญของคอทส์วอลด์สมาจากการค้าขายผ้าขนสัตว์ โดยสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของยุคนั้นคืออาคารแบบดั้งเดิมที่สร้างจากหินปูนสีน้ำผึ้งที่ขุดได้จากบริเวณนี้ หมู่บ้านที่กระจัดกระจายส่วนใหญ่ประกอบด้วยบ้านเรือนและกระท่อมที่ยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของประเทศอังกฤษในยุคโบราณ บ้านของ Pawson ยังคงรูปลักษณ์ภายนอกแบบคลาสสิกนี้ไว้ ในแบบที่ยากจะเชื่อว่านี่คือบ้านสไตล์มินิมอล แต่เมื่อก้าวเข้าไปภายในบ้านเพียงก้าวเดียว ความสงสัยนั้นก็หายไปทันที

เมื่อเข้าไปด้านใน ด้านขวามือเป็นห้องนั่งเล่น และถัดออกไปเป็นห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่และห้องครัว จุดศูนย์กลางของพื้นที่สีขาวขนาดใหญ่ที่ทอดยาวออกไปตามอาคารคือห้องครัว ประดับด้วยโคมไฟที่แขวนห้อยลงมาและโต๊ะยาวพร้อมที่นั่งสำหรับแปดคน ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสไตล์มินิมอลที่ยากจะจินตนาการได้จากภายนอกอาคารแบบดั้งเดิม แผ่นสเตนเลสและพื้นคอนกรีตขนาด 10 ซม. และหน้าต่างบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างจุดกึ่งกลางของแสงที่ลอดเข้ามาเปิดไปสู่สวนด้านทิศตะวันตก ทำให้พื้นที่นั้นอบอวลไปด้วยแสงสว่างสบายตา ให้อารมณ์ของห้องสไตล์อินดัสเตรียล ในขณะที่ไม้เปลือยของคานเพดานโค้ง และพื้นผิวที่ดูดิบๆ ของผนังอิฐ ถูกทาด้วยสีขาว ให้ความอบอุ่นอย่างลงตัว

"เสา คาน และพื้นเดิมของบ้านหลังนี้ทั้งหมดทำมาจากต้นเอล์ม เราเลยนำไม้ท่อนเดียวกันมาใช้สำหรับห้องครัวและตู้ด้วย ต้นเอล์มเคยเป็นวัสดุทั่วไปที่ใช้ในการก่อสร้าง แต่โรคภัยไข้เจ็บได้ทำให้ต้นนี้หมดไปจากพื้นที่ เครื่องตกแต่งใหม่ทั้งหมดในบ้านหลังนี้ทำจากต้นเอล์มสูง 80 ฟุตสองต้นที่นำเข้ามาจากประเทศเยอรมนี"

Pawson ออกแบบทุกรายละเอียดในบ้านนี้ ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์และไฟเท่านั้น แต่รวมถึงสวิตช์ไฟและลูกบิดประตู หรือแม้กระทั่งก๊อกน้ำและกระจก เขาพาเราเดินดูจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง พลางอธิบายถึงรายละเอียดที่ใส่เข้าไปในทุกส่วน เขาเต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา ดูเหมือนว่าสิ่งที่เราคาดเอาไว้ว่า Pawson ในวัยเจ็ดสิบปีผู้กลับไปใช้ชีวิตที่เงียบสงบในชนบทก็ผิดไปเช่นกัน

พื้นที่ครัวที่อยู่ทางทิศใต้ของบ้านตัดกับสถาปัตยกรรมหินเมืองคอทส์วอลด์สด้านนอกอย่างลงตัว โดยมีหน้าต่างไฟฟ้าบานเลื่อนเป็นตัวเชื่อมต่อกับภายนอกได้อย่างกลมกลืน ตามที่เราคาด Pawson ผู้ซึ่งเรียนการออกแบบจากประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ยังเด็ก ได้ยืมองค์ประกอบจากสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมมาใช้ออกแบบตัวอาคารนี้ด้วย

ฟาร์มเฮาส์แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ และเป็นสถานที่ที่ John, Catherine ภรรยาของเขา และเจ้า Rocky ได้มาพักผ่อนเติมพลัง

เก้าอี้ที่ตั้งเรียงบริเวณทางเข้าเป็นผลงานการดีไซน์ของ Donald Judd ห้องนั่งเล่นที่อยู่ใกล้กันมีชั้นวางหนังสือของ Donald Judd ตั้งแต่ปี 1979

"ฟาร์มเฮาส์" ที่มีแต่สถาปนิกเท่านั้นที่จินตนาการได้

"Catherine ภรรยาของผมใฝ่ฝันที่จะอยู่ในบ้านกระท่อมที่โอบล้อมด้วยดอกกุหลาบมานาน แต่ผมไม่อยากย้ายออกจากลอนดอน เพราะผมได้ผ่านจุดสูงสุดของอาชีพการงานของผมที่ลอนดอน ฉะนั้นถ้าผมมาถึงจุดนี้แล้ว เราจะทิ้งมันไปได้อย่างไรล่ะ แต่เมื่อเธอมาเจอบ้านหลังนี้ในปี 2012 ผมบอกกับเธอว่า 'นี่คือสิ่งที่เราต้องการมาโดยตลอด' ผมสามารถจินตนาการถึงศักยภาพของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างชัดแจ้ง และมองเห็นในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น"

Pawson กล่าวว่ามันมีเหตุผลที่ "คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น" ศักยภาพนี้ บ้านหลังนี้สร้างขึ้นในปี 1610 เป็น "ฟาร์มเฮาส์" สำหรับคฤหาสน์ฝั่งตรงข้าม ก่อนที่ครอบครัว Pawson จะมาซื้อ บ้านหลังนี้เป็นของพี่น้องเก้าคนของครอบครัวเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งสมาชิกสองคนในนั้นอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่าหกสิบปี พวกเขาอาศัยอยู่ในส่วนต่อเติมของบ้านหลังใหญ่ ในขณะที่พื้นที่ที่เหลือนั้นเต็มไปด้วยเครื่องมือทำฟาร์มเก่าๆ และของกองระเกะระกะ เมื่อเห็นสภาพนั้น คนส่วนใหญ่ก็จำต้องกุมขมับ เพราะอดคิดไม่ได้ว่าการทำความสะอาดสถานที่นี้ต้องเป็นงานที่หนักและมีราคาแพงมากทีเดียว

"สัญชาตญาณสถาปนิกของผมเริ่มทำงานทันที อาคารนี้มีโครงสร้างที่ยอดเยี่ยม ผมมั่นใจว่าเราจะสามารถดึงเอาคาแรคเตอร์ของมันออกมาได้ พร้อมกับทำให้ทันสมัยขึ้น ผมจินตนาการถึงการเอาโรงนาและคอกม้าเก่ามาเชื่อมต่อกับฟาร์มเฮาส์ สร้างแผนผังที่เชื่อมต่อกันในแนวยาว อยู่ที่ว่าเราจะใช้แนวทางใดจัดการกับพื้นที่นี้ อาคารหันหน้าไปทางทิศตะวันตก รับแสงแดดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ด้านหลังเป็นหมู่บ้านที่คุณสามารถมองเห็นได้ไกลๆ ซึ่งทอดผ่านภูมิทัศน์ธรรมชาติอันงดงาม ที่ตั้งของบ้านหลังนี้เป็นที่ตั้งในอุดมคติ เพราะมีความเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน แต่ในขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ให้กับความเป็นส่วนตัวเช่นกัน"

Pawson ใช้เวลาเกือบหกปีในการปรับปรุงพื้นที่บ้าน เขาทุ่มเทและให้ความสนใจกับการสร้าง "ความเชื่อมโยง" ระหว่างโรงนาและคอกม้ากับพื้นที่อยู่อาศัย สิ่งนี้ได้นำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายปีกที่กางออกไปสองทิศทาง โดยลักษณะพิเศษของการออกแบบนี้คือมีห้องครัวทั้งสองฝั่ง

"ตั้งแต่เริ่มแรก ภาพที่เราสองคนมีไว้ในใจคือสถานที่ที่ลูกๆ ของเราสามารถไปเที่ยวกับครอบครัวของพวกเขาได้ในช่วงสุดสัปดาห์ มีพื้นที่ที่ดึงดูดให้พวกเขาไปเยี่ยม ซึ่งปรากฏว่าพวกเขามักจะแวะมาในช่วงสุดสัปดาห์จริงๆ บางครั้งก็มาอยู่ยาวทั้งสัปดาห์ ที่แห่งนี้ได้กลายเป็นที่ที่เพื่อนๆ และครอบครัวมาพบปะและทานอาหารร่วมกัน ในบ้านที่ผมโตมา ครัวเป็นศูนย์กลางของบ้าน และเรามักจะทานอาหารร่วมกันเป็นครอบครัวเสมอ ลูกชายของผมชอบทำอาหาร ดังนั้นเมื่อเขามาเยี่ยม เรามักจะทานข้าวด้วยกัน ปัญหาคือเนื่องจากครัวทั้งสองห้องนั้นอยู่ห่างกันคนละฝั่ง บางครั้งคุณต้องเดินเป็นร้อยๆ ก้าวเพื่อไปหยิบนมจากตู้เย็นฝั่งหนึ่ง แล้วเดินข้ามไปยังตู้เย็นอีกฝั่งหนึ่งของบ้านเพื่อไปหยิบเนย! เป็นไงล่ะ" Pawson พูดพลางหยิบเครื่องนับก้าวออกมาจากกระเป๋า "วันนี้วันเดียว ผมเดินไปเกือบหนึ่งไมล์แล้วนะ" เขาหัวเราะ

จากที่เขาบอกเราทั้งหมด บ้านหลังนี้มีห้องอ่านหนังสือและห้องสมุดอยู่ที่ชั้นหนึ่ง และห้องนอนสามห้องพร้อมห้องน้ำในตัวอยู่ชั้นสอง อีกทั้งเกสต์เฮาส์สองชั้นที่สร้างจากคอกม้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่อีกยี่สิบเจ็ดห้อง

"ผมไปแวะดูตู้เสื้อผ้าของตัวเองก่อนมาสัมภาษณ์ แล้วก็เห็นว่าผมมีแจ็คเก็ตสองตัวจากยูนิโคล่ สิ่งที่ผมต้องการจากเสื้อผ้าคือคุณภาพ ซึ่งนี่ทำให้ยูนิโคล่เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบครับ"

ซึมซับประวัติศาสตร์ กับผลลัพธ์ที่อยู่เหนือกาลเวลา

โดยอยู่แยกจากตัวบ้านหลักและคั่นด้วยสนามที่โรยด้วยก้อนกรวด ฟาร์มเฮาส์ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดยี่สิบสี่เอเคอร์ Pawson พา Rocky สุนัขสุดรักของเขาไปเดินเล่นรอบๆ บ่อน้ำเล็กๆ ในบริเวณบ้าน แน่นอนเลยว่านี่คือสถานที่แห่งการพักผ่อนที่แท้จริง

ซึมซับประวัติศาสตร์ กับผลลัพธ์ที่อยู่เหนือกาลเวลา

"การปรับปรุงบ้านเสร็จสมบูรณ์ก่อนที่จะมีการระบาดใหญ่พอดี แน่นอนว่าเวลาที่เหมาะเจาะนี้ไม่ได้เป็นความตั้งใจของเรา เราไม่มีแผนที่จะอยู่ที่นี่ตลอดเวลา แต่เมื่อเราย้ายไปอยู่พักหนึ่ง เราก็หลงรักที่นี่มาก ณ ตอนนี้ เราจะมาที่นี่ในช่วงสุดสัปดาห์และจะมาอยู่ประมาณหนึ่งเดือนในช่วงฤดูร้อน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของบ้านหลังนี้คือวิวด้านนอกที่ไม่ได้เป็นเพียงทิวทัศน์ที่งดงามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปหลายร้อยปีอีกด้วย เป็นภาพแห่งความทรงจำในอดีตที่ผ่านไป และภาพชีวิตในชนบทที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ราวกับว่าคุณกำลังดูนิทานพื้นบ้านที่กลับมาโลดแล่นมีชีวิตอีกครั้ง"

เมื่อเหลือบมองวิวจากเนินเขาไปทางทิศตะวันตก ที่ซึ่งมีแม่น้ำไหลผ่านภูมิทัศน์ Pawson ก็เริ่มครุ่นคิด

"เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มโปรเจกต์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างสิ่งใหม่หรือการปรับปรุง เราจะทำการค้นคว้าเกี่ยวกับบริเวณนั้นทั้งหมด ตั้งแต่อาคารในท้องถิ่น พืชพันธุ์ ไปจนถึงภูมิประเทศ สำหรับบ้านหลังนี้ก็เช่นกัน เราอ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์ทุกประเภท และพอถึงจุดหนึ่ง เราก็เลือกที่จะเพิกเฉยกับทุกสิ่งที่เราค้นพบ เพราะแม้ว่าการซึมซับข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะสำคัญมากเพียงใด คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ประวัติศาสตร์ผูกมัดคุณไว้ ดีไซน์ของบ้านต้องมาจากตัวผมเอง และต้องมีความร่วมสมัยและทันสมัย ดังนั้นเราจะตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ อย่างระมัดระวัง และรอบคอบในทุกขั้นตอน เราต้องการให้งานออกแบบนี้ออกมาคงทน เป็นสิ่งที่ได้ใช้งานและเพลิดเพลินต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน แนวคิดในการทำบ้านหลังนี้ไม่ใช่การสร้างสิ่งที่ทันสมัยและโอ่อ่า แต่เป็นการออกแบบอย่างจริงใจและมีคุณภาพสูงที่จะคงอยู่ตลอดไป"

โคมไฟออกแบบโดย Pawson ซึ่งแขวนห้อยลงมาจากหลังคา ด้านล่างเป็นโต๊ะขนาด 12 ฟุตกว้างเท่ากับริมหน้าต่าง ล้อมรอบด้วยชุดเก้าอี้ Wishbone ของ Hans Wegner

ผนังส่วนใหญ่ในบ้านใช้ปูนฉาบแบบดั้งเดิม ขณะที่ชั้นวาง หน้าโต๊ะ และเคาน์เตอร์ห้องน้ำใช้หินอ่อนลาซ่าสีขาวที่หาได้จากอุทยานแห่งชาติ Stelvio National Park ในทางตอนใต้ของเมืองทิโรล

ในมุมมองของ Pawson ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ แต่เราไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ของโบราณไว้เพียงเพราะว่ามันโบราณ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการคงสไตล์เดิมเอาไว้ แต่เป็นเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งที่มีคุณค่าที่ยั่งยืนจากมรดกทางวัฒนธรรมของเรา คือการรักษาสิ่งที่ใช้งานได้และทิ้งสิ่งที่ใช้งานไม่ได้ แนวคิดที่เป็นใจความสำคัญของวัฏจักรนี้คือ "Less is More" เรียบง่ายแต่ได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นหัวใจของมินิมอลลิสต์นั่นเองเมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว สถาปนิกผู้ทุ่มเทอย่างมากในการตัดรายละเอียดที่มากเกินไปออกและต้องเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์ คิดว่าคนรุ่นหลังจะคิดอย่างไรกับอาคารที่เขาออกแบบ

"มันขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าของผมต้องการทำอะไร แม้ว่าเป้าหมายของการออกแบบทั้งหมดของผมคือผลลัพธ์ที่อยู่เหนือกาลเวลา แต่ผมก็ได้แต่พยายามทำให้ดีที่สุด ผมหวังเพียงว่า ไม่ว่าจะใช้งานผ่านไปหลายปี อาคารของผมก็จะไม่ล้าสมัย แต่จะเป็นไปตามทุกยุคสมัยและทรงคุณค่าแก่คนรุ่นหลัง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากเลยก็คือการที่ลูกๆ ทั้งสามคนขอให้ผมออกแบบบ้านให้พวกเขา ผมตื่นเต้นมากที่ได้ยินพวกเขาพูดว่า 'ให้พ่อทำให้' ถ้าลูกๆ ชื่นชอบงานของผม นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่ได้จากคนรุ่นหลังแล้ว"

- John Pawson’s Works

  • ©Friederike von Rauch

    The Design Museum

    เป็นผู้ดูแลการออกแบบใหม่ของ London’s Design Museum อาคารหลังนี้สร้างขึ้นในปี 1962 ให้แก่สถาบัน Commonwealth Institute และได้กลายเป็นที่จัดแสดงวัฒนธรรม 2010–2016

  • ©Douglas Tuck

    Paros House I

    เกสต์เฮาส์ชั้นเดียวที่สร้างขึ้นบนเกาะปารอสในประเทศกรีซ มีโครงสร้างเป็นรูปทรงลูกบาศก์สีขาวที่วางซ้อนเป็นรูปตัว L รอบสระน้ำ 2008–2016

  • ©Nacasa & Partners Inc.

    Cathay Pacific Lounges

    การตกแต่งภายในห้อง The Wing ห้องรับรองของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคสำหรับเที่ยวบินระยะไกลที่สนามบิน Chek Lap Kok ในฮ่องกง 1995–1998

  • ©Beth Evans

    Ellipse Collection for Salvatori

    ชุดภาชนะบนโต๊ะอาหารสำหรับซัลวาโทรี่ นักออกแบบชื่อดัง ซึ่งทำจากแผ่นหินอ่อน Bianco Carrara แผ่นเดียว 2018–2019

  • Home Farm Cooking

    ภาพเล่าเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับการทำอาหารและการรับประทานอาหาร ถ่ายในบ้านของครอบครัว Pawson และบริเวณโดยรอบ โดยมีการจัดเรียงตามฤดูกาล และรวมอาหาร 100 ชนิดที่ Catherine ภรรยาของ John ทำบ่อยที่สุด 2021 (Phaidon)

- Personal Timeline

  • 1949

    เกิดที่แฮลิแฟกซ์ ยอร์คเชียร์ทางตอนเหนือของอังกฤษ

  • 1973

    เดินทางไปญี่ปุ่นและทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่เมืองนาโกย่าเป็นเวลาสามปี ก่อนจะย้ายไปโตเกียวและได้พบกับ Shiro Kuramata

  • 1981

    ก่อตั้งสตูดิโอสถาปัตยกรรมของตัวเองในลอนดอน

  • 1995

    ออกแบบแฟล็กชิปสโตร์ให้กับ Calvin Klein ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างก้าวกระโดด

  • 2008

    ผลงาน "Lake Crossing" คว้ารางวัล Stephen Lawrence Prize จาก Royal Institute of British Architects

  • 2010

    จัดนิทรรศการ Plain Space ที่ The Design Museum ในลอนดอน

  • 2019

    สร้างฟาร์มเฮาส์เสร็จสมบูรณ์ และได้รับรางวัล CBE สำหรับบริการด้านการออกแบบและสถาปัตยกรรม

John Pawson
จอห์น พอว์สัน

Architectural Designer

เกิดเมื่อปี 1949 ในเมืองแฮลิแฟกซ์ ยอร์คเชียร์ทางตอนเหนือของอังกฤษ หลังจากทำงานในธุรกิจสิ่งทอของครอบครัวมาระยะหนึ่ง เขาเดินทางไปญี่ปุ่นและอาศัยอยู่ที่นั่นหลายปี โดยทำงานเป็นครูที่เมืองโตเกียว เขาใช้เวลาส่วนมากอยู่ที่สตูดิโอของ Shiro Kuramata ซึ่งกลายมาเป็นอาจารย์ของเขา หลังจากนั้น เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษและเข้าเรียนที่ Architectural Association School of Architecture ในกรุงลอนดอน และก่อตั้งสตูดิโอของตัวเองในปี 1981 นอกจากงานออกแบบที่พักอาศัยส่วนตัวแล้ว งานของเขายังรวมถึงอะพาร์ตเมนต์ของนักเขียน Bruce Chatwin ที่ชื่อ Abbey of Our Lady of Nový Dvůr ในสาธารณรัฐเช็ก และโรงแรม Jaffa Hotel ในเทลอาวีฟ รวมถึงบ้านส่วนตัว อาคารสาธารณะ และผลิตภัณฑ์อีกมากมาย แนวทางในการออกแบบโดยเลี่ยงการประดับตกแต่ง แล้วใช้แนวทางของสถาปัตยกรรมเข้าช่วย ทำให้ดีไซน์สไตล์มินิมอลของเขาเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

แชร์หน้านี้